fbpx

3 ตัวชี้วัดที่นักลงทุนในโลกคริปโทไม่ควรพลาด

ตัวชี้วัดหรือ indicator เป็นเครื่องมือที่นักลงทุนในโลกคริปโทสามารถใช้ในการคาดการณ์ว่าแนวโน้มของราคาจะไปในทิศทางไหน และนี่คือ 3 ตัวชี้วัดที่นักลงทุนต้องรู้!

ตัวบ่งชี้ที่น่าเชื่อถือและง่ายพอสำหรับนักลงทุนมือใหม่จะช่วยให้พวกเขาสามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้นโดยใช้ข้อมูล ไม่ใช่การกลัวที่จะพลาดบางสิ่งบางอย่าง หรือ Fear of Missing (FOMO) และตัวบ่งชี้เหล่านี้ยังสามารถที่จะนำไปใช้กับการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงินแบบดั้งเดิมได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น หุ้น กองทุนหรือสินค้าโภคภัณฑ์ 

 ไม่เพียงเท่านั้น ตัวบ่งชี้เหล่านี้ยังเป็นเครื่องมือที่สามารถใช้งานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น บนแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง Tradingview หรือเว็บไซต์ที่ใช้ในการซื้อ-ขายสินทรัพย์ต่างๆ

ในบทความนี้ ScalesBot จะพาผู้อ่านทุกท่านไปทำความรู้จักกับ indicator พื้นฐานที่จะช่วยให้การลงทุนของทุกคนดียิ่งขึ้น

1.Linear regression channel

Linear regression channel เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการระบุระดับราคาที่เป็นไปได้ของการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตโดยการสร้างกราฟการแจกแจงแบบปกติของแนวโน้ม

Linear regression channel ประกอบด้วยสามเส้น : ขอบบน ขอบล่าง และเส้นแนวโน้มมัธยฐานที่อยู่ตรงกลาง โดยเส้นกึ่งกลางในช่องนี้คือเส้น Linear regression หรือค่าเฉลี่ย ขอบบนและขอบล่างคือค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานจากค่าเฉลี่ยตามที่กำหนดไว้

วิธีหนึ่งในการเทรดโดยใช้ Linear regression channel คือ การระบุ “ กรอบ ” ในการเทรด เครื่องมือนี้จะกำหนดกรอบการกระจายข้อมูลให้เราเห็นในเวลาที่เรากำหนด โดยขอบล่างจะเป็นดั่งแนวรับที่เมื่อราคาลงมาแตะแล้วจะเด้งขึ้น ขอบบนทำหน้าที่เป็นแนวต้านที่เมื่อราคาขึ้นไปแตะและอาจจะย่อตัวลงมา ซึ่งนักลงทุนก็สามารถที่จะใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการระบุแนวโน้มได้เบื้องต้น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อราคาลงไปแตะขอบล่างหรือกำลังจะทะลุเส้นแนวโน้มมัธยฐานที่อยู่ตรงกลาง มันอาจจะเป็นสัญญาณของการเข้าซื้อ ในทางกลับกัน ถ้าราคาขึ้นไปแตะขอบบน มันอาจจะนำไปสู่การปรับลดของราคาและอาจจะเป็นโอกาสในการขาย

Howard Greenberg ผู้เชี่ยวชาญด้านสกุลเงินดิจิทัลที่ Prosper Trading Academy กล่าวว่า Linear regression channel เหมาะที่สุดสำหรับการซื้อขายแบบ Swing Trade ซึ่งมีเป้าหมายที่จะทำกำไรจากความผันผวนของราคาสินทรัพย์ ไม่เพียงเท่านั้น การซื้อขายในระยะสั้นก็สามารถที่จะใช้ตัวชี้วัดนี้ได้เช่นเดียวกัน

Greenberg กล่าวเสริมว่า “ปกติฉันใช้กรอบเวลา 1 ชั่วโมงหรือ 4 ชั่วโมงสำหรับการซื้อขายแบบ Swing Trade อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ของฉัน ตัวบ่งชี้นี้ก็สามารถทำงานได้ดีในทุกกรอบเวลา” 

2.Fear and Greed Index

Fear and Greed Index คือตัวชี้วัดที่มีค่าระหว่าง 1 ถึง 100 โดยค่าที่ใกล้เคียง 1 หมายความว่าตลาดคริปโทกำลังตกต่ำเนื่องจากผู้คนกำลังประสบกับความหวาดกลัวอย่างรุนแรงและทำการเทขายสินทรัพย์ดิจิทัลของพวกเขา ในทางกลับกัน ค่าที่เพิ่มมากขึ้นนั้นหมายความว่าผู้คนกำลังมีความโลภและทำการซื้อสินทรัพย์ต่างๆเพิ่มมากขึ้น

อารมณ์ของนักลงทุนถือเป็นหนึ่งสิ่งที่สำคัญซึ่งคอยขับเคลื่อนตลาดสกุลเงินดิจิทัล เมื่อตลาดมีมูลค่าปรับตัวสูงขึ้น ผู้คนจะเริ่มโลภและเกิดความกลัวว่าจะพลาด (Fear Of Missing Out หรือ FOMO) โอกาสในการทำกำไร ในทางตรงกันข้าม เมื่อตลาดเริ่มปรับตัวลดลง พวกเขาก็จะเทขายเหรียญที่ถือครองเนื่องจากหวาดกลัวในความผันผวนของตลาดคริปโท

Erika Rasure ผู้ก่อตั้งบริษัทด้านการศึกษาทางการเงิน Crypto Goddess กล่าวว่า “Fear and Greed Index เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ต้องการติดตามความเชื่อมั่นและความผันผวนของตลาด โดยไม่ต้องพยายามตีความข้อมูลมากมายด้วยตนเอง” 

Rasure กล่าวเสริมว่า “ในแง่ของการซื้อขาย ตัวชี้วัดนี้จะช่วยให้เราเข้าใจว่าเมื่อใดควรซื้อ (เมื่อดัชนีลดต่ำลงอยู่ในโซน Fear) และเมื่อใดควรขาย (เมื่อดัชนีเพิ่มสูงขึ้นอยู่ในโซน Greed) และเมื่อใช้ร่วมกับตัวชี้วัดอื่นๆ ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุนให้ดียิ่งขึ้น”

3.Simple and exponential moving averages

Moving Average หรือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นตัวชี้วัดทางเทคนิคที่จะสร้างเส้นราคาเฉลี่ยที่อัปเดตอย่างต่อเนื่องบนกราฟราคา โดยผู้ใช้งานสามารถที่จะเลือกระยะเวลาการลงทุนเป็นระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาวได้ด้วยตัวเลขที่ใช้ ซึ่งกรอบเวลาที่นิยมใช้กันมากที่สุดก็คือ 50,100,200 วัน (อ้างอิง : LINK )

จุดประสงค์ของการใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่คือ การแสดงแนวโน้มที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง หากราคาของสินทรัพย์สูงกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ แสดงว่า ราคาของสินทรัพย์กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นและเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะทำหน้าที่เป็นแนวรับ หากราคาอยู่ต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ แสดงว่าราคาของสินทรัพย์มีแนวโน้มที่จะลดลงและเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะทำหน้าที่เป็นแนวต้าน

Brett Sifling ที่ปรึกษาด้านการลงทุนของบริษัท Gerber Kawasaki กล่าวว่า “เขาชอบใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในกรอบเวลา 200 วัน ร่วมกับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้น 50 วัน”

Sifling กล่าวเสริมว่า “การใช้งานร่วมกันระหว่างเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 และ 200 วัน ยังสามารถที่จะแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของราคาได้อีกด้วย โดยการที่เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 ตัดขึ้นเหนือเส้น 200 วัน จะแสดงถึงการเปลี่ยนแนวโน้มจากขาขึ้นระยะสั้นเป็นขาขึ้นระยะยาว หรือเรียกว่า Golden Cross ในทางกลับกัน เมื่อเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 ตัดลงต่ำกว่าเส้น 200 วัน จะแสดงถึงการเปลี่ยนแนวโน้มจากขาลงระยะสั้นเป็นขาลงระยะยาว หรือเรียกว่า Dead Cross ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดมักจะใช้ตัวชี้วัดเหล่านี้ประกอบการตัดสินใจในการลงทุน”

อย่าเชื่อมั่นในตัวชี้วัดเพียงตัวเดียวมากเกินไป

การวิเคราะห์ทางเทคนิคและตัวชี้วัดสำหรับการซื้อขายเปรียบเสมือนการพยากรณ์อากาศ นักลงทุนสามารถที่จะใช้เครื่องมือเหล่านี้เพื่อช่วยในการคาดการณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับราคาจองสินทรัพย์ในตลาด เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับเหตุการณ์เหล่านั้น อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเหล่านั้นก็สามารถที่จะทำลายการวิเคราะห์ของเราลงได้ในพริบตา   

เพราะฉะนั้น การใช้ตัวชี้วัดเพื่อประกอบการตัดสินใจในการลงทุนจะช่วยให้คุณลงทุนได้อย่างมีข้อมูลมากขึ้น แต่อย่าลืมที่จะควบคุมความเสี่ยงและรักษาเงินทุนให้ดีที่สุด เพราะการลงทุนนั้นเป็นเหมือนเกมการแข่งขันที่ไม่มีวันสิ้นสุด ตราบใดที่คุณยังมีทุนอยู่ คุณก็จะมีสิทธิได้เข้าร่วมการแข่งขันนี้ต่อไป ดังนั้น จงหมั่นศึกษาหาความรู้และจำกัดความเสี่ยงให้ดีที่สุดเพื่อรักษาความมั่งคั่งให้อยู่กับคุณต่อไป

แต่ถ้าศึกษาข้อมูลทุกอย่างที่กล่าวมาอย่างครบถ้วนแล้ว แต่ไม่มีเวลาและยังไม่มีตัวช่วยในการจัดการพอร์ตโฟลิโอที่ดีพอ จะทำอย่างไรดีล่ะ?

ScalesBot คือคำตอบและเราสามารถช่วยคุณได้ 

ScalesBot A.I. (สเกลบอท เอไอ) เป็นเครื่องมือเทรดอัตโนมัติในตลาดคริปโทที่ใช้งานได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ตั้งค่าผ่านเว็บไซต์ หลังจากนั้น A.I. จะทำงานเทรดตามกลยุทธ์ที่ผู้ใช้งานเลือก ไม่ว่าจะเป็น

  • เทรดบน Spot Wallet
  • ปรับใช้ indicator ที่เหมาะสมกับสไตล์การลงทุนได้ตามต้องการ
  • ปรับพอร์ตอัตโนมัติตามเทรนด์ตลาด
  • ปรับขนาดถือครองเหรียญอัตโนมัติ
  • หยุดการคาดเดา ใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์และตอบคำถาม
  • ดูแลทั้งพอร์ต ไม่ใช่แค่คู่เหรียญ
  • การตั้งค่า Stop Loss ในกรณีที่ต้องการจัดการความเสี่ยงในช่วงตลาดขาลง
  • โฟกัสสร้างกำไร ไม่ใช่ Cashflow
  • เชื่อมต่อปลอดภัยผ่าน API
  • เหมาะสำหรับนักลงทุนสาย HOLDER

และด้วยฟังก์ชันการเชื่อมต่อผ่าน API ทำให้ผู้ใช้งานบอทของเราสบายใจได้ว่าสินทรัพย์ของพวกเขานั้นจะปลอดภัยหายห่วง เพราะการเชื่อมต่อผ่านทาง API โดยตรงจะสามารถกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงได้ ทำให้คุณไม่ต้องคอยกังวลว่าบอทจะโยกย้ายเงินของคุณไปที่ไหนรึเปล่า ยิ่งไปกว่านั้น เงินทั้งหมดจะอยู่ในบัญชีของคุณ คุณไม่ต้องโอนเงินมาฝากที่เราแม้แต่บาทเดียว 

ไม่เพียงเท่านั้น หากคุณต้องการปิดการทำงานของบอท คุณก็สามารถทำมันได้อย่างง่ายดาย เพียงล็อกอินผ่านหน้าเว็บไซต์ คุณก็สามารถที่จะเข้ามาเปิดหรือปิดการทำงานของบอทได้ทุกที่ทุกเวลาตามที่ต้องการ 

สมัครสมาชิก ScalesBot วันนี้ ใช้งานฟรีทันที 7 วัน

ScalesBot A.I. เครื่องมือบริหารพอร์ตคริปโทฯ ช่วยให้คุณประหยัดเวลาในการติดตามตลาด และสร้างกำไรได้จริงโดยอัตโนมัติ ด้วยเทคโนโลยี A.I.

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.scalesbot.com/
หรือหากต้องการทดลอง Backtest ย้อนหลังก่อนตัดสินใจสมัคร https://app.scalesbot.com/backtest

อ้างอิง : LINK