
ธนาคารมักจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในเศรษฐกิจโลก โดยการจัดการและประสานงานระบบการเงินผ่านบัญชีแยกประเภทที่เป็นความลับและไม่สามารถเปิดให้บุคคลทั่วไปตรวจสอบได้ ส่งผลให้ในบางครั้ง ธนาคารที่เราไว้วางใจก็อาจจะสร้างปัญหาให้กับเราได้
จากปัญหาที่เกิดขึ้น ผู้คนจำนวนมากจึงหันมาหาเทคโนโลยีบล็อกเชนที่มีศักยภาพ ไม่เพียงแค่ตลาดสกุลเงินดิจิทัลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอุตสาหกรรมการธนาคารโดยรวมอีกด้วย บล็อกเชนจะช่วยให้เกิดการตัดพ่อค้าคนกลางเหล่านี้ออกไปและแทนที่พวกเขาด้วยระบบที่น่าเชื่อถือ ไร้พรมแดน และโปร่งใสที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและตรวจสอบได้
บล็อกเชนจะช่วยอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมที่รวดเร็วและถูกกว่าค่าธรรมเนียมที่เราต้องจ่ายให้กับธนาคาร ทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงเงินทุน ทำให้การปฏิบัติตามกฎระเบียบราบรื่นขึ้นและช่วยสร้างความปลอดภัยของข้อมูลได้มากกว่าระบบการเงินแบบเดิม
แล้วประโยชน์ของบล็อกเชนที่จะเข้ามายกระดับให้การทำงานของการธนาคารและการเงินแบบเดิมดีขึ้นได้อย่างไร?
1.ประโยชน์ของบล็อกเชนที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบการเงิน
- ความปลอดภัย: ระบบที่ใช้บล็อกเชนจะช่วยตัดตัวกลางที่ไม่น่าไว้วางใจออกไปและจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้ผู้ใช้งาน ทำให้ข้อมูล KYC/AML และประวัติการทำธุรกรรมเป็นดิจิทัล ซึ่งทำให้สามารถตรวจสอบเอกสารทางการเงินหรือข้อมูลต่างๆ ได้โดยทันที ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการดำเนินงาน ความเสี่ยงจากการทุจริต และลดต้นทุนในการจัดการข้อมูลได้เป็นอย่างดี
- หากคุณต้องการอ่านเพิ่มเติมในหัวข้อนี้ เราแนะนำให้อ่านบทความ Blockchain Use Case: Digital Identity ของเรา
- ความโปร่งใส: ระบบบล็อกเชนจะช่วยสร้างมาตรฐานให้กับกระบวนการต่างๆ ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบข้อมูลในระบบได้อย่างอิสระ
- ความน่าเชื่อถือ: ระบบบล็อกเชนที่โปร่งใสช่วยให้ฝ่ายต่างๆ สามารถทำงานร่วมกันและทำข้อตกลงได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องใช้ตัวกลางหรือความเชื่อใจใดๆ
- ความสามารถในการทำงานแบบอัตโนมัติ: ระบบบล็อกเชนจะช่วยให้กระบวนการทางธุรกิจสามารถทำงานได้อย่างอัตโนมัติและเชื่อถือได้ผ่านการสร้างและการดำเนินการของสัญญาอัจฉริยะ
- ความเป็นส่วนตัว: ระบบบล็อกเชนจะช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัว ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมากต่อข้อมูลทางธุรกิจ
- ประสิทธิภาพสูง: ระบบบล็อกเชนได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับการทำธุรกรรมจำนวนมาก ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการทำงานร่วมกันระหว่างเครือข่ายต่างๆ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถทำธุรกรรมได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว
2.บล็อกเชนนั้นช่วยให้การโอนเงินนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การโอนเงินในระบบธนาคารปัจจุบันอาจใช้เวลานาน มีค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมและอาจจะต้องมีการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม ส่งผลให้ในยุคที่ทุกอย่างต้องการความรวดเร็วแบบนี้ ระบบการธนาคารแบบเดิมจึงยังไม่สามารถตอบโจทย์ของลูกค้าได้ทั้งหมด
เทคโนโลยีบล็อกเชนจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถทำการธุกรรมต่างๆ เช่น การโอน ถอน ฝากหรือชำระเงินได้อย่างรวดเร็วกว่าระบบธนาคาร ด้วยค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่าและยังให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่มีเวลาปิดบริการและไม่มีพรมแดน ทำให้ระบบการเงินทั่วทั้งโลกสามารถเชื่อมต่อถึงกัน
3.การระดมทุนผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชน
ในอดีต ผู้ประกอบการที่ต้องการหาเงินทุนนั้นต้องผ่านกระบวนการที่เข้มงวดซึ่งต้องมีการเจรจาที่ยาวนานเกี่ยวกับการประเมินมูลค่า การแบ่งส่วนของผู้ถือหุ้น กลยุทธ์ของบริษัท และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งมีความซับซ้อนเป็นอย่างมากกว่าจะได้เงินทุน
เทคโนโลยีบล็อกเชนจึงนำเสนอระบบที่เรียกว่า Initial Coin Offerings (ICO) และ Initial Exchange Offerings (IEO) ที่จะเปิดโอกาสให้โครงการใหม่ๆ สามารถระดมทุนได้โดยไม่ต้องใช้ธนาคารหรือสถาบันการเงินใดๆ โดย ICO นั้นจะทำให้บริษัทต่างๆ สามารถขายเหรียญเพื่อแลกกับการระดมทุน ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับการที่ธนาคารจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจำนวนมากเพื่ออำนวยความสะดวกในการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ของธุรกิจและการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไป (IPO) แต่เทคโนโลยีบล็อกเชนนั้นทำให้ค่าใช้จ่ายต่างๆ นั้นถูกลง เพราะบล็อกเชนจะไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใดๆ
4.การให้ยืมเงินผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชน
ธนาคารและบริษัทด้านการเงินอื่นๆ ได้ผูกขาดการให้กู้ยืม ทำให้พวกเขาสามารถเสนอเงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างสูงและจำกัดการเข้าถึงเงินทุนโดยพิจารณาจากเครดิตของผู้ให้กู้ ทำให้การกู้ยืมเงินนั้นใช้เวลานานและขั้นตอนที่ซับซ้อน
เทคโนโลยีบล็อกเชนจะช่วยให้ทุกคนในโลกมีส่วนร่วมในระบบนิเวศการให้กู้ยืมรูปแบบใหม่ที่เรียกกันว่า ระบบการเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi) ซึ่งจะช่วยสร้างระบบการเงินที่ผู้คนสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายและเท่าเทียม โดย DeFi นั้นตั้งเป้าที่จะนำแอปพลิเคชันทางการเงินทั้งหมดมาให้บริการอยู่บนบล็อกเชน การให้กู้ยืมเงินแบบ Peer-to-Peer โดยบล็อกเชนจะทำให้ทุกคนสามารถกู้และให้ยืมเงินด้วยวิธีที่เรียบง่าย ปลอดภัย และดอกเบี้ยเงินกู้ที่ราคาไม่แพง โดยไม่มีข้อจำกัด ซึ่งจะทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายยิ่งขึ้น
5.ข้อตกลงและสัญญาที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยการทำงานผ่านสัญญาอัจฉริยะหรือ Smart Contract
สัญญามีไว้เพื่อปกป้องผู้คนและธุรกิจของเมื่อพวกเขาทำข้อตกลงในเรื่องใดๆ แต่การคุ้มครองนั้นมีค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากลักษณะสัญญาที่ซับซ้อน กระบวนการร่างและดูแลสัญญาจึงต้องใช้แรงงานคนจำนวนและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายจำนวนมาก
แต่เทคโนโลยีบล็อกเชนจะทำให้การทำสัญญาต่างๆ นั้นง่ายขึ้น เพราะสัญญาอัจฉริยะจะช่วยให้การทำข้อตกลงนั้นง่ายดายยิ่งขึ้น ด้วยการทำงานอัตโนมัติผ่านสัญญาดิจิทัลที่ป้องกันการปลอมแปลงและกำหนดได้ซึ่งทำงานอยู่บนบล็อกเชน ผู้ใช้งานจะต้องทำตามเงื่อนไขในสัญญาอัจริยะให้ครบเงื่อนไขจึงสามารถที่จะทำธุรกรรมใดๆ กับสินทรัพย์เหล่านั้นได้
สัญญาอัจฉริยะช่วยกำจัดตัวกลางที่ผู้ใช้งานต้องใช้ความเชื่อใจในการทำข้อตกลงออกไป ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาในอนาคต
Key Takeaway
อุตสาหกรรมการธนาคารและการเงินเป็นหนึ่งในภาคส่วนหลักที่จะได้รับผลกระทบจากการมาถึงของเทคโนโลยีบล็อกเชน ด้วยกรณีการใช้งานที่มีมากมาย ยักตัวอย่างเช่นการทำธุรกรรมแบบเรียลไทม์ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ การระดมทุนที่ง่ายดาย การให้ยืมแบบ P2P และการทำข้อตกลงผ่านสัญญาอัฉจริยะที่จะทำให้การทำสัญญาทางธุรกิจต่างๆ นั้นแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ดังนั้น การทดลองทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านบล็อกเชนจึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผู้อ่านทุกท่านนั้นควรจะได้ลองซักครั้ง เพราะมันอาจจะทำให้คุณติดใจจนไม่สามารถกลับไปโอนเงินในธนาคารแบบดั้งเดิมเลยก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม อย่าลืมที่จะศึกษาและตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น อย่าหลงเชื่อคำพูดของโจร เพราะมันอาจจะทำให้คุณสูญเสียเงินทั้งหมดที่มีไปกับการพลาดเพียงครั้งเดียว
Always DYOR นะครับ!
สมัครสมาชิก ScalesBot วันนี้ ใช้งานฟรีทันที 7 วัน
ScalesBot A.I. เครื่องมือบริหารพอร์ตคริปโทฯ ช่วยให้คุณประหยัดเวลาในการติดตามตลาด และสร้างกำไรได้จริงโดยอัตโนมัติ ด้วยเทคโนโลยี A.I.
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.scalesbot.com/
หรือหากต้องการทดลอง Backtest ย้อนหลังก่อนตัดสินใจสมัคร https://app.scalesbot.com/backtest
อ้างอิง: LINK