fbpx

History of Blockchain นวัตกรรมอันโดดเด่นที่อยู่เบื้องหลังสกุลเงินดิจิทัล

เทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังของ Bitcoin และเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่เข้ามาจะมาเปลี่ยนโลกของเรา

สิ่งที่อยู่เบื้องหลังสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในปัจจุบัน คือ เทคโนโลยีบล็อกเชน สิ่งนี้ช่วยให้ผู้ใช้งานทุกรายในเครือข่ายสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ได้อย่างง่ายดายและแพร่หลาย โดยไม่ถูกกำกับหรือแทรกแซงโดยหน่วยงานใดๆ

The Beginning

แนวคิดหลักที่อยู่เบื้องหลังเทคโนโลยีบล็อกเชนนั้นได้ถูกอธิบายไว้ตั้งแต่ต้นปี 1991 นำโดยนักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงอย่าง Stuart Haber และ W. Scott Stornetta ซึ่งนำเสนอวิธีแก้ปัญหาสำหรับการจัดการเอกสารบนโลกดิจิทัล โดยใช้บล็อกเชนที่มีการเข้ารหัสอย่างปลอดภัยและมีการระบุเวลาบนเอกสารที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้มีการปลอมแปลงหรือดัดแปลงใดๆ 

ต่อมาในปี 1992 นักวิทยาศาสตร์ได้นำรูปแบบ Merkle tree ซึ่งเป็น Data Structure ที่ใช้ในด้าน Computer Science มารวมเข้ากับเทคโนโลยีบล็อกเชน ทำให้ระบบสามารถรวบรวมเอกสารดิจิทัลหลายฉบับไว้ได้ในบล็อกเดียวและถือว่าเป็นการยกระดับเทคโนโลยีนี้ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  อย่างไรก็ตาม ในยุคนั้น เทคโนโลยีนี้ยังไม่ได้รับความสนใจอย่างแพร่หลายและสิทธิบัตรของเทคโนโลยีก็หมดอายุไปอย่างเงียบๆ ในปี 2004 สี่ปีก่อน Bitcoin ถือกำเนิด

Reusable Proof Of Work

ในปี 2004 นักวิทยาศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์และนักเคลื่อนไหวด้านบล็อกเชนอย่าง Hal Finney (Harold Thomas Finney II) แนะนำระบบที่เรียกว่า Reusable Proof of Work หรือRPoW ซึ่งเป็นระบบ Proof Of Work ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ การทำงานของระบบนี้จะเป็นการตรวจสอบหลักฐานของโทเคนที่ไม่สามารถแลกเปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลงได้ โดยระบบจะสร้างโทเคนที่ลงนามโดย RSA ซึ่งสามารถโอนจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งได้

RPoW สามารถแก้ปัญหาการใช้จ่ายซ้ำซ้อน (Double Spending) ด้วยกระบวนการที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้ทั่วโลกตรวจสอบความถูกต้องและความสมบูรณ์ของโทเคนได้แบบเรียลไทม์

RPoW ถือได้ว่าเป็นต้นแบบและเป็นก้าวแรกที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของโลกสกุลเงินดิจิทัล

Bitcoin Network

ในช่วงปลายปี 2008 นวัตกรรมทางการเงินแห่งอนาคตก็ได้ถือกำเนิดขึ้นบนโลก เอกสาร White Papers ซึ่งแนะนำระบบเงินสดอิเล็กทรอนิกส์แบบ Peer-to-Peer แบบกระจายอำนาจที่เรียกว่า Bitcoin ถูกนำเสนอต่อชุมชนบนโลกออนไลน์โดยบุคคลหรือกลุ่มคนในนามแฝง “Satoshi Nakamoto” แต่ Bitcoin นั้นไม่ได้ใช้ฟังก์ชันการประมวลผลที่เชื่อถือได้อย่าง RPoW

 การป้องกันการใช้จ่ายซ้ำซ้อน (Double Spending) ใน Bitcoin นั้นจะมาจากโปรโตคอลแบบ Peer-to-Peer ที่กระจายอำนาจ เพื่อติดตามและตรวจสอบธุรกรรม เพราะ Bitcoin จะถูก “ขุด”โดยใช้กลไก Proof of Work (การพิสูจน์การทำงาน) โดยผู้ขุดแต่ละคน ซึ่งธุรกรรมต่างๆจะถูกตรวจสอบโดยโหนดจำนวนมากที่อยู่ในเครือข่าย

และเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2009 การขุด Bitcoin ครั้งแรกโดย Satoshi Nakamoto ก็เกิดขึ้น การขุดครั้งนี้มีรางวัลสูงถึง 50 BTC และในวันที่ 12 มกราคม 2009 การทำธุรกรรมครั้งแรกของเครือข่าย Bitcoin ก็เกิดขึ้น จากการที่ Satoshi Nakamoto ส่ง Bitcoin จำนวน 10 BTC ให้กับ Hal Finney และถือเป็นจุดกำเนิดของสกุลเงินดิจทัลอย่างแท้จริง

Ethereum Network 

ต่อมาในปี 2013 Vitalik Buterin โปรแกรมเมอร์และผู้ร่วมก่อตั้ง Bitcoin Magazine กล่าวว่า Bitcoin ต้องการสิ่งที่เหมาะสมสำหรับการสร้างแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากชุมชน Vitalik จึงเริ่มต้นพัฒนาแพลตฟอร์มที่เหมาะสำหรับการประมวลผลแบบกระจายอำนาจบนเครือข่ายบล็อกเชนใหม่และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของ “Ethereum” ที่มาพร้อมกับ “Smart contract” ซึ่งจะเข้ามายกระดับระบบการเงินแบบกระจายอำนาจให้ดียิ่งขึ้น

Smart contract หรือ สัญญาอัจฉริยะ นั้นก็เหมือนกับสัญญาทั่วไปที่มีการกำหนดเงื่อนไขของข้อตกลง แต่มีข้อแตกต่างจากสัญญาแบบทั่วไปๆ ตรงที่ เงื่อนไขของสัญญาอัจฉริยะนั้นจะดำเนินงานด้วยการโค้ดซึ่งทำงานอยู่บนบล็อกเชนอย่าง Ethereum 

สัญญาอัจฉริยะจะช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปต่างๆ ที่ใช้ประโยชน์จากความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ และความสามารถในการเข้าถึงของบล็อกเชนได้ และยังสามารถนำเสนอฟังก์ชันการทำงานแบบ Peer-to-Peer ซึ่งทำได้ทุกสิ่งตั้งแต่การดำเนินการสำหรับเงินกู้ การประกัน ตลอดจน NFT หรือ GameFi

โดยสกุลเงินดิจิทัลหลักของบล็อกเชน Ethereum เรียกว่า ETH ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่สามารถแลกเปลี่ยนระหว่างผู้ใช้งานและจะถูกใช้เพื่อชำระค่าธรรมเนียมสำหรับการทำธุรกรรมต่างๆ บนเครือข่าย

พออ่านมาถึงจุดนี้ มีความสนใจที่จะลงทุนขึ้นมาแล้วใช่ไหมล่ะครับ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเลือกเหรียญไหนดี

ไม่ต้องห่วงไปครับ ScalesBot มีตัวช่วย

ScalesBot ขอนำเสนอ A.I. Assets Presets ผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นขึ้นโดย ScalesBot ที่จะทำให้การลงทุนของคุณนั้นง่ายและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 

A.I. Assets Presets หรือชุดการตั้งค่าเหรียญ คือฟังก์ชันอัจฉริยะที่ถูกคิดค้นโดย ScalesBot ซึ่งมีคุณสมบัติที่จะช่วยปรับเปลี่ยนเหรียญภายในพอร์ตโฟลิโอโดยอัตโนมัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ โดย Top 10 Market cap, Mineable in Top 100 Market cap และ Smart Contracts in Top 100 คือ Presets ของกลุ่มที่เราได้จัดไว้ให้ ซึ่งมี Bitcoin และ Ethereum อยู่ 

แต่ถ้าคุณไม่อยากใช้ชุดการตั้งค่าเหรียญที่ทางเราจัดไว้ คุณก็สามารถที่จะเลือกเหรียญที่ต้องการได้ในสัดส่วนเหรียญในพอร์ต ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผลิตภัณฑ์ของเราในการบริหารพอร์ตของคุณให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ

Always DYOR & Enjoy Using ScalesBot!

สมัครสมาชิก ScalesBot วันนี้ ใช้งานฟรีทันที 7 วัน

ScalesBot A.I. เครื่องมือบริหารพอร์ตคริปโทฯ ช่วยให้คุณประหยัดเวลาในการติดตามตลาด และสร้างกำไรได้จริงโดยอัตโนมัติ ด้วยเทคโนโลยี A.I.

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.scalesbot.com/
หรือหากต้องการทดลอง Backtest ย้อนหลังก่อนตัดสินใจสมัคร https://app.scalesbot.com/backtest

อ้างอิง : LINK