fbpx

3 เครื่องมือทางเทคนิคสามัญประจำพอร์ตที่นักลงทุนระยะยาวต้องรู้!

Indicator หรือตัวชี้วัดเป็นเครื่องมือที่นักลงทุนต้องศึกษาและเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจในการลงทุนได้อย่างถูกต้อง 

การลงทุนในระยะยาวหรือ Long-Term Investment เป็นอีกหนึ่งวิธีการที่นักลงทุนจำนวนมากเลือกใช้ การเป็นนักลงทุนระยะยาวหมายความว่านักลงทุนนั้นยินดีที่จะรับความเสี่ยงและคาดหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้นในอนาคต จากการถือครองสินทรัพย์ใดๆ เป็นระยะเวลา 5,10,15 ปี หรือมากกว่านั้น

สิ่งที่ยอดเยี่ยมสำหรับการลงทุนระยะยาวคือ “การเข้าซื้อของคุณนั้นไม่จำเป็นต้องแม่นยำ 100%” เนื่องจากคุณวางแผนที่จะถือสินทรัพย์เป็นระยะเวลานาน ทำให้นักลงทุนไม่ต้องกังวลเรื่องความผันผวนของราคาสินทรัพย์ในระยะสั้นเท่าใดนัก

และเมื่อพูดถึงการวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับการลงทุนระยะยาว สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนต้องมีก็คือ Indicator โดย Indicator หรือตัวชี้วัดนั้นเป็นเครื่องมือที่นักลงทุนต้องศึกษาและเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจในการลงทุนได้อย่างถูกต้อง  แต่สิ่งสำคัญที่ต้องคอยย้ำเตือนนักลงทุนอยู่ตลอดก็คือ  Indicator นั้นไม่ใช่ทุกอย่างของการลงทุน มันเป็นเพียงเครื่องมือที่ให้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการลงทุนเท่านั้น ไม่ใช่เครื่องมือที่สามารถทำนายอนาคตหรือจะทำให้นักลงทุนทำกำไรได้ทุกครั้ง 

ดังนั้น นักลงทุนจึงควรศึกษาหาความรู้และทำความเข้าใจตลาดประกอบไปกับการใช้ Indicator ต่างๆ สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการลงทุนที่มีประสิทธิภาพที่สุด

และในบทความนี้ พี่ Bot จะมาแนะนำ 3 Indicator สามัญประจำพอร์ตที่ใช้สำหรับการลงทุนระยะยาว ซึ่งไม่ซับซ้อนและเป็นมิตรกับนักลงทุนตั้งแต่มือใหม่ยันมือโปร 

1.Moving Average (MA)

Moving Average หรือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่จะสร้างเส้นราคาเฉลี่ยที่อัปเดตอย่างต่อเนื่องบนกราฟราคา โดยผู้ใช้งานสามารถที่จะเลือกระยะเวลาการลงทุนเป็นระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาวได้ด้วยตัวเลขที่ใช้ เช่น การลงทุนระยะยาวจะนิยมใช้เส้นค่าเฉลี่ย 50,100,200 วันสำหรับการติดตามเทรนด์ระยะยาว

มีหลากหลายวิธีในการนำเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ไปใช้ เช่น การดูเทรนด์ของสินทรัพย์จากแนวโน้มของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ หากส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในแนวนอนเป็นระยะเวลานาน แสดงว่าราคายังคงอยู่ในช่วง Sideway และยังไม่มีแนวโน้มใด หากเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ทำมุมขึ้น แสดงว่าสินทรัพย์มีแนวโน้มขาขึ้น หรือจะเป็นการนำจุดตัดระหว่างเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 และ 200 วันเป็นการเข้าซื้อหรือเทขายสินทรัพย์ โดยสัญญาณซื้อจะเกิดขึ้นเมื่อเส้น 50 วันตัดขึ้นเหนือเส้น 200 วันและสัญญาณขายจะเกิดขึ้นเมื่อเส้น 50 วันตัดลงต่ำกว่าเส้น 200 วัน

อย่างไรก็ตาม กรอบเวลาของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่นั้นสามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับสไตล์การลงทุนของแต่ละคน และโปรดจำไว้ว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ไม่ได้คาดการณ์มูลค่าของสินทรัพย์ในอนาคตและอาจจะให้สัญญาณที่เป็นเท็จได้

เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่เรามักจะได้ยินกันบ่อยๆ จะมีอยู่ 2 ประเภท คือ Simple Moving Average (SMA) และ Exponential Moving Average (EMA) 

  • Simple Moving Average (SMA)  หรือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย คือการคำนวณที่ใช้ค่าเฉลี่ยเลขคณิตของราคาชุดหนึ่งในช่วงเวลาที่กำหนดในอดีต เช่น 5, 30, 100 หรือ 200 วันก่อนหน้า
  • Exponential Moving Average (EMA) หรือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียล คือค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักที่ให้ความสำคัญกับราคาของหุ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมามากยิ่งขึ้น ทำให้เส้น EMA สามารถตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของราคาได้เร็วกว่าเส้น SMA

2.MACD

MACD เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ใช้บอกแนวโน้มของสินทรัพย์ โดยจะใช้ค่าศูนย์เป็นเกณฑ์ในการวัด โดยดูว่าเส้น MACD อยู่ที่ด้านใดของศูนย์ในฮิสโตแกรม หากเส้น MACD อยู่เหนือศูนย์ แสดงว่าสินทรัพย์มีแนวโน้มขาขึ้น ในทางกลับกัน หากเส้น MACD อยู่ต่ำกว่าศูนย์ แสดงว่าสินทรัพย์นั้นอยู่ในแนวโน้มขาลง 

นักลงทุนสามารถใช้ MACD และ Signal Line เป็นสัญญาณในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ได้เช่นเดียวกัน โดยสัญญาณการเข้าซื้อจะเกิดขึ้นเมื่อ MACD ตัดขึ้นเหนือเส้น Signal Line และสัญญาณขายจะเกิดขึ้นเมื่อ MACD ตัดลงต่ำกว่าเส้น Signal Line

3.Relative Strength Index (RSI)

RSI เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ใช้บ่งชี้โมเมนตัมของสินทรัพย์ สภาวะตลาด และสัญญาณเตือนสำหรับการเคลื่อนไหวของราคาที่มากเกินไป ซึ่งจะวัดขนาดการเปลี่ยนแปลงราคาล่าสุดเพื่อประเมินว่าสินทรัพย์นั้นมีการซื้อหรือขายมากเกินหรือไม่

RSI จะแสดงเป็นตัวเลขระหว่าง 0-100  โดยค่าของ RSI ที่ 30 หรือต่ำกว่านั้นจะแสดงให้เห็นว่าสินทรัพย์นั้นถูกขายมากเกินไป ในทางกลับกัน RSI ที่ระดับ  70 หรือสูงกว่าก็จะแสดงให้เห็นว่าสินทรัพย์นั้นมีการซื้อมากเกินไป

สัญญาณของการซื้อที่มากเกินไปแสดงให้เห็นว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาในระยะสั้นอาจจะใกล้จบและสินทรัพย์อาจจะกำลังเข้าสู่ช่วงการปรับฐาน ในทางตรงกันข้าม สัญญาณของการขายที่มากเกินไปจะแสดงให้เห็นว่าการปรับลดของราคาในระยะสั้นกำลังจะจบลงและสินทรัพย์อาจจะกำลังกลับตัวเพื่อเข้าสู่การเป็นขาขึ้นต่อไป

MA, MACD และ RSI จะช่วยให้การลงทุนของคุณมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

สิ่งที่น่าสนใจคือนักลงทุนสามารถเลือกจำนวนวันหรือ Period ของ Indicators ในการคำนวณให้เหมาะกับการลงทุนที่ต้องการได้ เช่น 5 หรือ 10 วันสำหรับการลงทุนระยะสั้น, 50 หรือ 100 วันสำหรับการลงทุนระยะกลางและ 200 วันสำหรับการลงทุนระยะยาว เป็นต้น

ยิ่งไปกว่านั้น นักลงทุนสามารถที่จะใช้ RSI ร่วมกับ MACD เพื่อยืนยันโมเมนตัมของราคา สิ่งเหล่านี้สามารถช่วยให้นักลงทุนวางแผนการซื้อและขายสำหรับการลงทุนระยะยาวได้ดียิ่งขึ้น หาก Indicator ส่งสัญญาณโมเมนตัมไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ให้ตรวจสอบ Indicator ตัวอื่นเพื่อดูว่าให้ผลเป็นไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่

หาก RSI และ MACD ให้ผลไปในทิศทางที่เหมือนกัน ผู้ค้าก็สามารถที่จะใช้ข้อมูลเหล่านั้นประกอบการตัดสินใจสำหรับการซื้อหรือขายสินทรัพย์ต่างๆ ในทางกลับกัน หาก RSI และ MACD ให้ผลไปในทิศทางที่แตกต่างกัน Indicator เหล่านี้อาจจะกำลังส่งสัญญาณบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัมก็เป็นได้